Friday, 17 February 2017


ภาคพิเศษ ชุด ความเกี่ยวข้อง
ของม้ามองโกลกับม้าไทยพื้นเมือง



ม้าป่ามองโกลเลียนพรีวาลสกี้ (Mongolian Przewalski's horse) เป็นสายพันธุ์ม้าป่าตามธรรมชาติสายพันธุ์สุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลก ซึ่งต่างจากม้าป่ามัสแตงที่เกิดจากคนสร้างขึ้นแต่หลุดออกไปและเพิ่มจำนวนอยู่ในธรรมชาติ แม้ม้าป่าสายพันธุ์นี้จะเคยสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ แต่สายพันธุ์ดังกล่าวได้ถูกเพิ่มจำนวนในศูนย์วิจัยและปล่อยกับสู่แหล่งธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติของประเทศมองโกลเลีย โดยคาดการณ์ว่าในปัจจุบันม้าป่าดังกล่าวมีอยู่ในธรรมชาติประมาณ 300 ตัว แม้จะมีโครงสร้างใกล้เคียงกับม้ามองโกลเลียที่เป็นสายพันธุ์ท้องถิ่น แต่พันธุกรรมจะไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้โดยตรงเนื่องจากจำนวนคู่โครโมโซมไม่เท่ากัน แต่ก็มีสมมุติฐานว่ามีการเปลี่ยนทางพันธุกรรมแยกจากสายพันธุ์ม้าป่าเมื่อประมาณ 120,000– 240,000 ปีที่แล้ว ม้ามองโกลเลียเป็นม้าสายพันธุ์ท้องถิ่นที่มีความแข็งแรงทนทานต่อสภาพแวดล้อมของประเทศ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในออกรบของเจงกีสขานและมีบันทึกว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมีม้ามองโกลเลียจำนวนมากกว่า 3 ล้านตัว ในส่วนความเชื่อมโยงสองสายพันธุ์ ม้ามองโกลและม้าไทยพื้นเมือง (Thai native pony) พบว่าม้าไทยพื้นเมืองเป็นสายพันธุ์ที่มีลักษณะรูปร่างใกล้เคียงกับม้ามองโกลเลียและได้รับการตรวจยืนยันทางพันธุกรรมว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน จากแผนภาพแสดงพันธุกรรมเราจะเห็นการแตกแขนงของสายพันธุ์ พบว่าม้าพื้นเมืองไทยและมองโกลอยู่กลุ่มเดียวกันและแยกออกมาจากกลุ่มม้าป่า

ม้ามองโกลคุงในปัจจุบัน(ภาค4)


สถานภาพ : ปัจจุบัน ม้าป่ามองโกลจัดอยู่ในชนิดพันธ์ที่ตกในอันตรายตามข้อตกลงของ IUCN ในอดีตพวกมันได้สาบสูญไปจากแหล่งธรรมชาติ อันเป็นผลของการล่าและสูญเสียถิ่นอาศัยจากคุกคามของมนุษย์ ต่อมา ได้มีการรวบรวมพันธุ์ม้าป่าที่อยู่ตามสวนสัตว์มาเพาะเลี้ยงจนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติในทุ่งหญ้าแถบมองโกเลียในของจีน โดยปัจจุบัน มีม้าป่ามองโกลในธรรมชาติราว 2,000  ตัว



ม้ามองโกล(ภาค3)


ม้ามองโกลและถิ่นที่อยู่

ถิ่นอาศัย : พบในบริเวณทุ่งหญ้าสเตปป์ในแถบมองโกเลียและภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน
อุปนิสัย : ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดเล็ก ฝูงละสิบถึงสิบห้าตัวโดยในฝูงประกอบด้วยลูกม้าและม้าตัวเมีย มีตัวผู้เป็นจ่าฝูง ออกหากินตามที่โล่ง อาหารหลักคือหญ้าและพวกไม้พุ่ม ม้าจ่าฝูงจะมีนิสัยดุร้ายและหวงอาณาเขต เวลามีสัตว์นักล่าเข้ามาโจมตี จะต่อสู้ด้วยการใช้ขาหน้าโขกเตะและกัดด้วยฟัน   



Thursday, 16 February 2017



ม้ามองโกล(ภาคต่อที่1)




ม้ามองโกลกับสงคราม

การทำการรบของนักรบเผ่ามองโกล อ้างถึงหนังสือ “เจงกีสข่าน มหาบุรุษผู้เปลียนโลก” เขียนโดย แจ็ค วอเตอร์ฟอร์ด แปลโดยวิชัย รักศรีอักษร และ หลายๆ Entry เกี่ยวกับเรื่องราวของเจงกีสข่านในอินเตอร์เนต
“นักประวัติศาสตร์หลายคนคิดว่า จักรพรรดิเจงกิสข่านทรงพระปรีชาสามารถยิ่งกว่า Alexander, Hannibal Caesar, Attila และ Napoleonดังจะเห็นได้จากยุทธวิธีการทำสงครามของพระองค์ ซึ่งใช้ทหารม้าที่มีอาวุธคือ ธนูสำหรับยิงโจมตีข้าศึก โดยเจ็งกิสข่านจะทรงสั่งให้กองทัพม้าแสร้งทำเป็นแพ้ถอยหนี เพื่อให้ทหารข้าศึกควบม้าไล่ตามอย่างไม่เป็นขบวน แล้วกองทหารม้าของเจ็งกิสข่านก็รวมตัวกันใหม่อย่างเป็นระเบียบ เพื่อโจมตีกองทัพม้าข้าศึกที่ไล่ตาม การมีทักษะในการควบและบังคับม้าสูง ทำให้ทหารเจ็งกิสข่านมีชัยอย่างง่ายดาย
จนเจงกิสข่านสามารถครอบครองดินแดนที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางตั้งแต่ทะเลดำ (Black Sea) จนถึงทะเลเหลือง (Yellow Sea) และทุกหนแห่งที่กองทัพมองโกลเดินทางถึง กองทัพก็ได้นำอารยธรรมของถิ่นนั้นมาผสมกับอารยธรรมตนเช่น นำอารยธรรมและเทคโนโลยีของจีน และอิหร่านมาใช้ มีการสร้างปืนใหญ่ให้มีประสิทธิภาพในการยิงสูงขึ้น และเมื่อกองทัพเจ็งกิสข่านพิชิตเอเชียกลาง การติดต่อค้าขาย และแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรกรรมที่เกิดขึ้นทำให้เจ็งกิสข่านสามารถนำชาวนาจีนมาช่วยทำชลประทานของชาวมองโกลได้หลายโครงการ”



ม้ามองโกลคุ


ม้ามองโกล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Equus Ferus Przewalskii
    ลักษณะ : ภาษามองโกล เรียกว่า ทากี (Thaki) อีกชื่อหนึ่งคือ ม้าป่าเปรวาสกี้ (Przewalski) โดยตั้งตามนักภูมิศาสตร์ชาวรัสเซีย นิโคไล เปรวาสกี้ ซึ่งได้สำรวจและบันทึกเรื่องของม้าป่าพวกนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1881  
    ม้าป่ามองโกลจัดเป็นสายพันธุ์ย่อยของม้า โดยม้าเป็นสัตว์ที่มีเพียงชนิดเดียวในกลุ่มของมัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสองสายพันธุ์ย่อยของม้าป่าแท้ที่มีในโลกโดยอีกสายพันธุ์หนึ่งคือม้าป่าทาปันของยุโรป มันสูงที่ไหล่ราวหนึ่งเมตรสี่สิบเซนติเมตร คอสั้น หนา ขนสีน้ำตาลแกมเหลืองโดยจะมีสีเข้มบริเวณหลังและไล่สีอ่อนลงมาจนเป็นสีขาวตรงบริเวณท้อง และมีสีดำตรงขาส่วนล่าง ในฤดูหนาวจะมีขนยาวและจะผลัดเป็นขนสั้นในฤดูร้อน